“วันสำคัญ” ตามเทศกาล นอกจากจะมีไว้เพื่อเฉลิมฉลองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่แบรนด์ต่างๆ จะใช้จังหวะนี้ในการเพิ่มยอดขาย ด้วยแคมเปญและโปรโมชั่นมากมายที่ถูกคิดมาไว้ให้สอดคล้องกับกำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้น
แต่สำหรับบางแบรนด์ก็ใช้จังหวะนี้ในการสร้าง Awareness เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และสร้างฐานลูกค้าเพิ่มในระยะยาว
มาดูกันว่า แต่ละแบรนด์วางแผนการตลาดในเทศกาลแห่งความรักได้น่าสนใจอย่างไรกันบ้าง
Godiva กับโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์
Godiva คือแบรนด์ช็อกโกแลตพรีเมียมที่มีสาขาอยู่หลายประเทศ รวมถึงในประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งประเทศญี่ปุ่นจะมีวัฒนธรรมวันวาเลนไทน์อยู่อย่างหนึ่ง คือการที่ ผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายมอบช็อกโกแลตให้ฝ่ายชาย อาจฟังดูไม่ใช่เรื่องแปลก หากนั่นเป็นการมอบช็อกโกแลตให้กับคนที่ชอบ หรือคนรัก
แต่ธรรมเนียมนี้ ผู้หญิงต้องให้ช็อกโกแลตกับผู้ชายแทบจะทุกคนที่พวกเธอพบเจอในชีวิตประจำวัน ซึ่งนับว่าเป็นเทศกาลรีดทรัพย์อย่างหนึ่ง ที่แม้แต่ “คนให้” ก็อาจจะไม่ได้อยากเสียเงินซื้อของให้กับ “ผู้รับ” ด้วยซ้ำ แต่จำต้องทำตามมารยาท บ้างก็ทำเพราะไม่อยากรู้สึกแปลกแยก หรือกลัวถูกมองไม่ดี
ถ้าอยู่ในวัยเรียน ก็ต้องให้เพื่อนผู้ชายหลายคนในห้องเรียนเดียวกัน
ถ้าอยู่ในวัยทำงาน ก็ต้องให้เพื่อนร่วมงาน ลูกน้องหรือหัวหน้าที่เป็นผู้ชาย
จนเกิดคำเรียกช็อกโกแลตนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะว่า “กิริช็อกโก” (義理チョコ) ซึ่งแปลความหมายตรงตัวว่า ช็อกโกแลตที่ให้ตามหน้าที่ …
ถ้าสังเกตดูจะพบว่าหลายครั้งที่แบรนด์ “พยายาม” ทำให้สิ่งใดกลายเป็นไวรัล ไม่ว่าจะเป็นการติดแฮชแท็กหรือจ้าง Influencer มากมาย สิ่งนั้นมักจะไม่ค่อยเป็นกระแส แต่อาจได้ประโยชน์ในแง่ของการโฆษณาและช่วยเพิ่มการรับรู้ต่อสินค้ามาแทน
ในขณะที่บางครั้ง สินค้าบางชิ้นโด่งดังเป็นพลุแตก เพียงเพราะว่ามีการถกเถียงกันในโลกออนไลน์ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “มีดราม่า” จนทำให้สิ่งนั้นกลายเป็น “ไวรัล” ขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
อย่างเช่น กรณีล่าสุดที่เกิดการถกเถียงขึ้นใน Tiktok ว่ากระเป๋า CHARLES & KEITH ถือเป็นแบรนด์หรู (Luxury) หรือไม่?
จุดเริ่มต้นเรื่องราว
เหตุเกิดจากผู้ใช้งาน Tiktok แอคเคาท์ @zohtaco ได้โพสต์คลิปวิดีโอที่คุณพ่อของเธอซื้อของขวัญให้ เป็นกระเป๋ายี่ห้อ CHARLES & KEITH ซึ่งสิ่งที่จุดประเด็นทุกอย่างขึ้นมานั้น อยู่ตรงแคปชั่นในวิดีโอที่กล่าวว่า “my first luxury bag :))”
Tiktok @zohtaco : ลิงก์คลิป
แม้เรื่องราวในคลิปจะเป็นเรื่องน่ายินดี…
พฤติกรรมของผู้บริโภคแต่ละ Generation สำคัญอย่างไร?
หลายคนอาจคิดว่าการแบ่งแยกพฤติกรรมการซื้อสินค้า โดยใช้อายุและช่วงวัยเป็นเกณฑ์มากำหนดนั้น เป็นสิ่งที่อุปทานขึ้นมาลอยๆ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่อายุใกล้เคียงกัน จะมีพฤติกรรมเหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้น กลุ่มคนที่เกิดและเติบโตมาในช่วงเวลาเดียวกัน โดยได้รับข้อมูลและพบเจอสิ่งแวดล้อมคล้ายกัน ก็ย่อมส่งผลต่อพฤติกรรมไม่มากก็น้อย
ข้อมูลเหล่านี้จึงมีส่วนช่วยในการวางแผนการตลาด และผลักดันแบรนด์ไปในทิศทางที่เราต้องการได้ดียิ่งขึ้น หากเรารู้ว่าสินค้าและบริการของเราจะขายใคร เหมาะกับคนช่วงวัยใด และเราจะหาลูกค้าเหล่านั้นเจอได้จากที่ใดบ้าง
ข้อมูลการซื้อสินค้าของกลุ่ม Baby Boomer
Baby Boomer พ.ศ. 2489 - 2507 (ค.ศ. 1946 - 1964)
เบบี้บูมเมอร์ คือกลุ่มคนอายุระหว่าง 59 - 77 หรือกลุ่มคนในวัยเกษียณ ที่เกิดในยุคซึ่งบ้านเมืองกำลังต้องการการพัฒนาและฟื้นฟูอย่างมาก เพราะผลพวงจากการเกิดของสงครามโลกครั้งที่ 2
จึงเป็นช่วงวัยที่อยู่บ้านมากกว่าวัยอื่น ไม่ว่าจะเพราะการเกษียณจากงาน รวมไปถึงเริ่มท่องเที่ยวน้อยลง เพราะความกังวลเรื่องสุขภาพจากวิกฤตโรคระบาด
สิ่งที่สนใจและสินค้าที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม Baby Boomer
สนใจเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพเป็นหลัก
ลงทุนกับสิ่งอำนวยความสะดวกในบ้านมากขึ้น
การตลาดที่เหมาะกับคนกลุ่มนี้…
โลกหมุนเร็วกว่าที่เราคิด เทรนด์การตลาดบางเทรนด์ที่เคยฮิตอาจจะใช้งานได้ไม่ดีเหมือนเก่าแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมามากมายจนเราอาจจะตามไม่ทัน
ซันนี่จึงมาสรุปเทรนด์การตลาดออนไลน์ที่เป็นที่นิยมในช่วงนี้ ว่าแบบไหนที่น่าสนใจ มาสำรวจทิศทางกันเอาไว้ จะได้เตรียมธุรกิจของเราให้พร้อมรับมือได้ในทุกสถานการณ์ 😉
เทรนด์การตลาด : Voice Search
1. Voice Search
ผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟน (Smart Phone) หรือสมาร์ทโฮม (Smart Home) หลายคนน่าจะเคยใช้คำสั่ง “การค้นหาด้วยเสียง” โดยใช้ผู้ช่วย AI เช่น Siri, Google Assistant หรือ Alexa ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่กระทบกับการทำการตลาดออนไลน์ก็คือ พฤติกรรมการค้นหาของมนุษย์กับ AI นั้นต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะค้นหาอะไรสักอย่าง เรามักจะเลือกคีย์เวิร์ดขึ้นมาไม่กี่คำ ในขณะที่การสั่ง AI ด้วยเสียงนั้น เราจะถามเป็นประโยค
นี่จึงเป็นจุดที่เราต้องคำนึงถึงเวลาใส่ข้อมูลสินค้าของเราลงในแพลตฟอร์ม เพราะนอกจากจะช่วยให้ผู้ที่ค้นหาด้วยเสียงหาเว็บไซต์หรือเพจของเราเจอได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยพัฒนาด้าน SEO ได้อีกด้วยค่ะ
…
SEO คืออะไร?
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพที่จะช่วยให้บรรดา Search Engine หาเว็บของเราเจอได้ง่ายขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้มากขึ้นตามไปด้วย
ให้ลองคิดว่าการทำ SEO คือการที่เราพยายามจีบ Search Engine ให้ติด ด้วยวิธีพัฒนาตัวเองให้ดีมากพอจะเข้าไปอยู่ในสายตาของเขา ไม่ว่าจะเป็น Google หรือ Search Engine อีกมากมายหลายเจ้า
ฉะนั้น การพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีจึงประกอบไปด้วยหลายปัจจัย ไม่สามารถทำ SEO ให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว
เวลาที่เราค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine ต่างๆ อย่างเช่น Google แน่นอนว่ามีเว็บไซต์ให้เราเลือกคลิกอ่านมากมาย
แต่เรากดลิงก์ไหนก่อนล่ะ?
ลิงก์ที่อยู่ด้านบนสุดมักจะดึงดูดความสนใจได้ดีกว่าใช่มั้ยคะ และพฤติกรรมของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ชอบกดลิงก์แรกๆ นั้นทำให้อัลกอริทึม (Algorithm) รับรู้ว่า “นั่นคือเว็บไซต์ยอดนิยม” และจะช่วยดันให้คนเห็นมากยิ่งขึ้นไปอีก…
เคยได้ยินคำว่า Neuromarketing กันไหม ?
คำนี้อาจจะฟังดูแปลกหูสำหรับคนที่ไม่ใช่นักการตลาด แต่มันแปลว่าอะไรกันล่ะ 🤔
Neuro : มาจากคำว่า Neuroscience คือศาสตร์ที่เกี่ยวกับสมองและระบบประสาท หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “ประสาทวิทยา”
Marketing : คือการตลาด
เมื่อมารวมกัน Neuromarketing (นิวโรมาร์เก็ตติ้ง) จึงมีความหมายว่า การตลาดที่ใช้หลักการด้านประสาทวิทยาเข้ามาช่วยวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค เพราะเมื่อเราได้รู้จักกลไกการทำงานของสมอง ก็เท่ากับว่าเราจะ “รู้ใจลูกค้า” มากขึ้นนั่นเอง
แต่ช้าก่อน หมายเหตุตัวโตๆ
Neuromarketing คือศาสตร์ทางการตลาดที่นำหลักวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงเท่านั้น ยังไม่ได้มีการยืนยันว่าเป็นหลักการที่ได้ผลทางวิทยาศาสตร์จริงๆ บทความนี้จึงเป็นเพียงการนำเสนอแนวคิดและแนะนำเทคนิคที่น่าสนใจ เผื่อจะสามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ค่ะ
หลักการของ Neuromarketing
พื้นฐานการทำ Neuromarketing เริ่มจากความเข้าใจในสมองของมนุษย์ ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ส่วนหลัก
Neocortex : ทำงานเกี่ยวกับตรรกะและเหตุผล เป็นส่วนที่ใช้คิด วิเคราะห์ และจะทำงานต่อเมื่อเราจะใช้เท่านั้น…
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่เทคโนโลยีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของการซื้อขายสินค้าออนไลน์ (E-commerce) ที่หากจะเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนเรายกตั้งแต่ตลาดนัดจตุจักรไปจนถึงช็อปแบรนด์เนมมาไว้ในโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคไปอย่างสิ้นเชิง
ปัจจุบันนี้ผู้คนซื้อของออนไลน์มากขึ้น ใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้น ฉะนั้นแล้วสินค้าและบริการอื่นๆ ที่แม้จะไม่ได้มีการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตในแพลตฟอร์ม online shoping ก็เริ่มผันตัวมาทำการตลาดออนไลน์ หรือ Digital Marketing กันแล้ว เพื่อให้สินค้าและบริการสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้นนั่นเอง
และสิ่งสำคัญในที่บรรดานักธุรกิจ, เข้าของแบรนด์, แพลตฟอร์มต่างๆ ในอินเทอร์เน็ตจะนำมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนการตลาดคงจะหนีไม่พ้น ‘ข้อมูล’
PDPA คืออะไร
คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act: PDPA) ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคุ้มครองประชาชนไม่ให้ถูกละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หากตนยังไม่ได้ให้ความยินยอม
ฉะนั้นแล้ว หากผูัทำธุรกิจหรือนักการตลาดต้องการจะนำข้อมูลต่างๆ มาใช้เพื่อประโยชน์ในการทำ Digital Marketing ล่ะก็ ต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ PDPA เอาไว้ เพราะกระทบด้านการนำข้อมูลมาใช้เต็มๆ
สามารถอ่านข้อมูลเกี่ยวกับ PDPA เพิ่มเติมได้ที่ :…
วิดีโอสั้น คือมิติใหม่ของการตลาดในยุคนี้?
กระแสของคลิปวิดีโอสั้นเริ่มมาแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่โควิดระบาดหนัก โดยผู้นำเทรนด์กระแสดังกล่าวนั้นจะเป็นแอปฯ ใดไปไม่ได้ นอกจาก ‘Tiktok’
Tiktok ได้พัฒนาตัวเองให้เป็นมากกว่าแอปพลิเคชั่นวิดีโอสั้นเพื่อความบันเทิง โดยเริ่มมีการเพิ่มฟีเจอร์ Tiktok Shop เข้ามาเพื่อรองรับความต้องการซื้อขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ (E-Commerce) และปฏิเสธไม่ได้ว่าได้การสร้างคลิปวิดีโอสั้นที่มาพร้อมท่าเต้นที่เต้นตามได้ง่าย ช่วยสร้างกระแสไวรัลให้กับเพลงอีกมากมายจนกลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ต
จุดเด่นของวิดีโอสั้น คือ เนื้อหารูปแบบนี้สามารถดึงยอด Engagement ได้ดีกว่ารูปแบบอื่น เนื่องจากดึงความสนใจไว้ได้นานกว่ารูปภาพ และไม่ต้องใช้เวลาดูนานเท่าวิดีโอยาว ที่สำคัญ ยิ่งวิดีโอสั้น ก็ยิ่งได้ยอดวิวจากการวนดูซ้ำที่สูงขึ้น (Repeat Rate) ดังนั้น การแวะเข้าไปดูคลิปสั้นๆ เพียงคลิปละ 1 นาที ก็อาจจะทำให้เราเลื่อนดูคลิปอื่นๆ ต่อไปได้เรื่อยๆ จนนานเป็นชั่วโมง ส่งผลให้ Tiktok มียอดผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นนานกว่า 197.8 ล้านชั่วโมงต่อวัน
การเติบโตแบบก้าวกระโดดของ Tiktok ทำให้มีแอปฯ คู่แข่งหลายเจ้าพยายามที่จะดึงทั้งยอดผู้สร้างผลงาน (Creator) และยอดผู้ใช้งาน…
[CASE STUDY] ใจฟูสตอรี่ x Sunnysideup Studio
หนัง(น่า)รักชวนให้หัวใจพองโตเรื่องนี้เป็นผลงานล่าสุดจากค่ายไทเมเจอร์ ที่ซันนี่ได้มีโอกาสเข้าไปช่วยดูแลเพจและช่วยทำโฆษณาบน Social Media
ก่อนฉาย “ภาพยนตร์” สักเรื่องต้องทำอะไรบ้าง?
จะทำโฆษณาใน Social Media ได้ ก็ต้องมี Fanpage เสียก่อน ที่นอกจากจะช่วยโปรโมทภาพยนตร์ แนะนำนักแสดงและตัวละครแล้ว ยังช่วยเพิ่มการรับรู้ และวางแผนการทำโฆษณาได้เป็นอย่างดี
เพจจึงจำเป็นต้องมีทั้งคอนเทนต์ที่น่าสนใจ กราฟิกที่ดึงดูดสายตา และความสม่ำเสมอในการอัปเดต
เราได้ช่วยวาง Mood & Tone สำหรับการทำ Art Work ของเพจ รวมถึงสไตล์การทำคอนเทนต์ โดยได้แยกเป็นประเภทย่อย เช่น ประโยคจากในหนัง, Meme หรือประเด็นที่เป็นกระแสอยู่ในขณะนั้น เพื่อจะได้กระจายการโพสต์คอนเทนต์ในหัวข้อต่างๆ ได้อย่างสม่ำเสมอ
จุดเด่นที่เราสามารถเล่นได้กับ “ใจฟูสตอรี่” เพื่อใช้ในการโปรโมทภาพยนตร์นั้นมีอยู่มากมาย เช่น …
"ตอบแชท"
คือการพร้อมสแตนบาย เพื่อสละเวลาครั้งละไม่กี่นาที มาตอบแชทตลอดแทบทั้งวัน⏱️ เหมือนจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ถ้าทำทั้งวันก็แทบไม่มีเวลาไปโฟกัสอย่างอื่นแน่นอน โดยเฉพาะกับเจ้าของธุรกิจที่ต้องมีอะไรให้คิดและทำอีกเป็นร้อยอย่าง
การมี “แอดมินตอบแชท” ไว้ประจำสักคนจึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากจะช่วยให้มีเวลาว่างเพิ่มขึ้น แอดมินที่สแตนบายเพื่อตอบแชทอย่างรวดเร็วก็มักจะทำให้ผู้ที่เข้ามาสอบถามเกิดความพึงพอใจมากกว่า นำไปสู่การซื้อสินค้าหรือบริการในที่สุด
✨ตัวอย่างบริการแอดมินตอบแชทในธุรกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
บริการสินเชื่อลีสซิ่ง : แอดมินจำเป็นต้องคล่องแคล่ว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ฉับไว ใจเย็น และตอบให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจ เหมือนไม่ได้กำลังคุยกับหุ่นยนต์
ธุรกิจสินค้าความงาม : บุคลิกของแอดมินจำเป็นจะต้องใส่ใจในรายละเอียด ให้คำแนะนำลูกค้าได้ดี ทำให้ลูกค้าไว้วางใจและกล้าที่จะตัดสินใจซื้อสินค้า
เห็นได้ชัดว่า การเป็นแอดมินนั้นไม่ใช่แค่เพียงต้องตอบเร็ว แต่ยังต้องเข้าใจอัตลักษณ์ของแบรนด์ และนำเสนอออกมาผ่านบุคลิกและการพูดคุยในแชท เพราะแอดมินคือ “ด่านแรก” ที่จะต้องพูดคุยกับลูกค้านั่นเอง
✨ ข้อดีของการมีแอดมินตอบแชท
ไม่ต้องเฝ้าจอพร้อมตอบเองตลอดเวลา
มีเวลาว่างเพิ่มขึ้น
โฟกัสงานและธุรกิจได้ดีขึ้น
ช่วยแบ่งเบาภาระในการดูแลเพจ
ลูกค้าพึงพอใจ ไม่รอนาน
เพิ่มโอกาสในการซื้อขาย …
ใครเคยทำเพจน่าจะเข้าใจ ว่าการดูแลเพจให้มีความเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอนั้นกินเวลามหาศาล คิดจะพักสักหนึ่งสัปดาห์ เพจก็ร้างแล้ว จริงไหมคะ?
ไหนจะไม่มีเวลาดูแลเพจ, ไม่เชี่ยวชาญการตลาดออนไลน์, ยิง Ads ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย, ตอบแชทไม่ทัน และอีกสารพัดปัญหาที่จะเข้ามารุมเร้า เมื่อเราเริ่มทำการตลาดออนไลน์โดยไม่ชำนาญ
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เจ้าของธุรกิจตกลงจ้าง ‘เอเจนซี่’ เพราะนอกจากจะมีเวลาโฟกัสกับธุรกิจมากขึ้น การจ้างเอเจนซี่ยังให้ผลลัพท์ที่ดีกว่า เช่น
เชี่ยวชาญการตลาดออนไลน์
ประหยัดเวลา
ครบวงจร ไม่ต้องจ้างพนักงานก็เหมือนได้มาทั้งทีม
มีประสบการณ์ เป็นที่ปรึกษาให้กับแบรนด์ได้
ที่สำคัญ การดูแลเพจด้วยตัวเองในบางครั้งยังเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า
ทั้งเรื่อง ‘เงิน’ และ ‘เวลา’ ⌛
เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์
เรื่องนี้กับเอเจนซี่ก็ไม่ต่างอะไรจากประโยค “Put the right man on the right job”
ไม่ใช่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแล้วจะทำการตลาดออนไลน์ได้ดี ยกตัวอย่างเช่นหลายกรณี แม้เจ้าของธุรกิจบางท่านจะจับงานมามาก แต่ก็ล้วนเป็น “งาน Offline” และเมื่อต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกดิจิทัล…
การตลาดกับข้อมูลเป็นของคู่กันมาทุกยุคทุกสมัย เราคงจะขายสินค้าและบริการไม่ได้ หากไม่รู้จักกลุ่มเป้าหมายดีพอ ดังนั้น “ข้อมูล” คือสิ่งที่จะช่วยให้เราวิเคราะห์และวางแผนการตลาด รวมถึงกลยุทธ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะทำให้เรารู้จักและเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ยังช่วยให้เรามองหา “ผู้ที่น่าจะเป็นลูกค้า” ได้ง่ายขึ้นอีกด้วยค่ะ
ปัจจุบันนี้มีกระบวนการเก็บข้อมูลมากมาย ตั้งแต่การทำแบบสอบถาม ไปจนถึงการเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคในเว็บไซต์ต่างๆ หากยังไม่เห็นภาพว่าการเก็บข้อมูลเหล่านั้นเป็นประโยชน์อย่างไร สังเกตได้ง่ายๆ จากการที่เวลาเราเข้าไปใช้บริการแอปฯ ช็อปปิ้งออนไลน์ เรามักจะเจอสิ่งที่เคยค้นหาหรือกดเข้าไปดูในครั้งก่อนๆ ถูกแนะนำขึ้นมาในหน้าแรกเสมอ
ซึ่งในมุมของผู้ทำธุรกิจออนไลน์นั้น การที่สินค้าและบริการของเราถูกเสนอไปยังผู้ที่น่าจะสนใจ ก็ย่อมมีโอกาสที่จะขายได้มากกว่าการหว่านโฆษณาไปแบบไม่รู้ทิศทางใช่มั้ยล่ะคะ
ยิ่งรู้มาก ยิ่งขายได้มาก
ในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มที่เป็นประโยชน์ต่อการทำการตลาดออนไลน์มากมายที่จะช่วยให้คุณมีข้อมูลในมือเยอะขึ้น ซึ่งบางแพลตฟอร์มนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยให้ได้รู้ข้อมูลและความต้องการของผู้บริโภค แต่ยังช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของคู่แข่งอีกด้วย! ยกตัวอย่างเช่น
Creden Data
คือบริการวิเคราะห์และค้นหาข้อมูลบริษัท (นิติบุคคล) ที่มีให้บริการทั้งข้อมูลผู้ถือหุ้น, งบการเงิน ไปจนถึงผู้สอบบัญชี เพื่อที่ผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มได้รู้ถึงข้อมูลเชิงลึกของบริษัทอื่น ช่วยให้สามารถตรวจสอบคู่ค้าได้
Exponea
คือแพลตฟอร์มจะรวบรวมข้อมูลมาและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค ช่วยให้เรารู้ว่าผู้บริโภคของเราคือใคร ต้องการอะไร ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่เหมาะสม
Segment
จะช่วยรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายช่องทาง สร้างข้อมูลลูกค้าและหากลุ่มเป้าหมาย…