Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

Case Study กระแสจากหนังดัง ส่งผลต่อยอดขายของเล่นมากแค่ไหน?!

ทุกวันนี้ภาพยนตร์หนึ่งเรื่องไม่ได้สร้างรายได้จากตั๋วหนังแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงหลายอุตสาหกรรม ทั้งแฟชั่น ความงาม ค่าลิขสิทธิ์ รวมถึงวงการ ของเล่นและของสะสม

ภาพยนตร์หลายเรื่องที่ไม่ได้มีจุดขายแค่ตัวหนังเท่านั้น แต่ยังขยันออก ‘ของเล่น’ มาดูดเงินในกระเป๋าแฟนๆ กันแบบไม่หวาดไม่ไหว จะมีเรื่องไหนบ้าง มาดูกันเลยยย

Barbie 

Mattel บริษัทผู้จัดจำหน่ายตุ๊กตาบาร์บี้ เผยว่ายอดขายตุ๊กตาในเดือนกรกฎา-สิงหาที่ผ่านมาพุ่งสูงถึง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว แน่นอนว่าเป็นผลจากกระแสของ Barbie Live Action ที่สร้างปรากฎการณ์สีชมพู จนเป็นไวรัลไปทั่วทั้งโลก Offline และ Online

Star Wars 

หลังจากภาคต่อ The Force Awakens เข้าโรงฉาย ยอดขายของเล่นก็พุ่งสูงถึง 31.3% คิดเป็นจำนวนเงินได้ราวๆ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

Disney 

ค่ายยักษ์ใหญ่ที่ถือครองแฟนไชส์ทั้ง Star Wars, Marvel และ Pixar แต่ถ้าพูดถึงภาพยนตร์เรื่องที่ไม่ว่าจะออกของเล่นคอลเลคชั่นไหนมาก็ขายดีอยู่ตลอด คงหนีไม่พ้น Frozen และ Toy Story การันตีความฮอตด้วยยอดขาย Mr. Potato Head ที่เพิ่มขึ้นกว่า 800% หลังหนังภาคแรกเข้าฉาย (ทั้งที่วางขายก่อนหน้านั้นมาแล้ว 40 กว่าปี ✨)

นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ เช่น Lego, Minion จาก Despicable Me หรือหนังจากแฟรนไชส์ Marvel ที่ยอดขายของเล่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญหลังจากภาพยนตร์เข้าโรง

 

ทำไมของเล่นจากหนังถึงขายดี

🪀 ทำไมของเล่นถึงขายดี? 🧸

นั่นเป็นเพราะ ของเล่น ในที่นี้ ไม่ใช่เพียงสิ่งที่เอาไว้ให้เด็กเล่นเท่านั้น แต่ยังเป็นของสะสมของผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นวัยที่มีกำลังซื้อแล้ว จึงไม่น่าแปลกที่ยอดขายของเล่นจะพุ่งกระฉูดหยุดไม่อยู่

การสะสมของเล่นถือเป็นงานอดิเรกและความชอบส่วนตัว บ้างก็ซื้อเพราะเพิ่งดูหนังแล้วอิน บ้างก็เพราะหนังเรื่องนั้นคือความทรงจำที่ดีในวัยเด็ก เมื่อถึงวัยที่มีกำลังซื้อของฟุ่มเฟือยได้เองแล้ว เลยเข้าหลักสูตร ชอบก็จัด ประหยัดทำไม

ยิ่งถ้าหนังที่เราชอบสมัยเด็ก มาสร้างภาคต่อเอาตอนที่เราเริ่มมีตังค์แล้ว (ยกตัวอย่างหนังชื่อย่อ สะ-ตา-วอ) และดันออกของสะสมมามากมาย บอกเลยว่า ไม่!

❌ ไม่ซื้อ

✅ ไม่เหลือ

 

🪀 ขายเด็ก vs ขายผู้ใหญ่ 🧸

หากจะเปรียบเทียบให้ดูชัดๆ คงต้องยกตัวอย่างระหว่างสองเรื่องนี้ Frozen vs Toy Story เพราะทั้งสองเรื่องคือภาพยนตร์ที่มีกระแสดีจากค่าย Disney และ Disney Pixar  ที่สร้างรายได้มหาศาล และยังผลิตของเล่นของสะสมมาอีกมากมาย (ซึ่งก็ขายดีซะด้วย) แต่ทำไม Frozen ถึงขายดีในกลุ่มเด็ก ส่วน Toy Story ดันขายดีในกลุ่มผู้ใหญ่

Frozen :

Timing ของเจ้าหญิงอย่างเอลซ่า เรียกได้ว่ามาในช่วงที่ดิสนีย์เริ่มห่างหายจากการเดบิวต์เจ้าหญิงองค์ใหม่ ทำให้เด็กๆ ในช่วงนั้น (ปี 2013) แทบจะไม่มีเจ้าหญิงแห่งยุคเป็นของตัวเอง เหมือนที่เด็กๆ ยุคก่อนโตมาพร้อมสโนว์ไวท์ มู่หลาน หรือแอเรียล

การมาของเอลซ่าและอันนา จึงทำให้เธอกลายเป็นเจ้าหญิงแห่งยุคไปโดยปริยาย และถือครองตำแหน่งขวัญใจเด็กๆ ที่ไม่ว่าจะออกสินค้าอย่างตุ๊กตา เสื้อผ้า หรือของเล่นมากี่คอลเลคชั่นก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า 

Toy Story :

ในขณะที่ Toy Story เข้าโรงฉายภาคแรกในปี 1995 เด็กน้อย Gen Y หรือผู้ใหญ่ Gen X ทั้งหลายที่ได้ดูแล้วเกิดความประทับใจ คงอยากจับจองวู้ดดี้หรือมีอยากบัซไลท์เยียร์เป็นของตัวเองกันทั้งนั้น

แน่นอนว่าสำหรับเด็ก Gen Y ในยุคนั้นคงไม่มีกำลังซื้อมากพอจะโกยของเล่นมาเก็บเอาไว้ตามใจอยาก แต่ Toy Story ก็ไม่ปล่อยเราไปไหน เพราะหนังเรื่องนี้มีภาคต่อเรื่อยมาจนถึงปี 2019

เด็กน้อยในวันนั้นที่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ เมื่อถึงเวลาที่หาเงินเองได้แล้ว แถมหนังเรื่องโปรดยังออกภาคใหม่ บวกของเล่นมาอีกจุกๆ มีหรือจะไม่ซื้อ 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมของเล่นที่มีกระแสจากหนังดังถึงขายดี เพราะการซื้อของเล่นในบางครั้ง ไม่ได้เป็นเพียงการซื้อของสะสมเท่านั้น แต่ยังเป็นการซื้อความทรงจำ และซื้อสิ่งที่เราเคยอยากได้ในตอนนั้น 

และซื้อด้วยอารมณ์ที่ว่า ‘ตอนนี้ ฉัน มี เงิน ซื้อ แล้ว โว้ยยยยยยยย’ นั่นเองค่ะ 😘

ข้อมูลจาก :