ที่เรียกมาตลอดใช้ถูกไหมล่ะเนี่ย?
หลายคนเรียกรูปแบบตัวอักษรที่เราใช้ว่า ‘Font’ กันจนติดปาก แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วลักษณะตัวอักษรเหล่านั้นเรียกว่า ‘Typeface’ ต่างหาก
แล้ว Typeface และ Font ใช้งานต่างกันอย่างไร?
Typeface หมายถึง รูปแบบหรือลักษณะตัวอักษรที่เราใช้งาน โดยประกอบไปด้วยตัวพยัญชนะ A-Z, ก-ฮ หรือตัวอักษรในภาษาอื่นๆ และยังรวมถึงสัญลักษณ์ ตัวเลข และสระต่างๆ ฉะนั้น Typeface อาจมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งมีหัว, ไม่มีหัว, หางตวัด, แบบมีลวดลาย เป็นต้น
Font หมายถึง ลักษณะของ Typeface นั้นๆ อาจต่างกันที่ความหนา บาง เอียง เป็นต้น
สรุปแล้วในแต่ละ Typeface อาจมีได้หลากหลาย Font ยกตัวอย่างเช่น Typeface ‘Cordia New’ มีหลายขนาด
ทั้ง
ความใหญ่
ความเล็ก
ความหนา
ความบาง
ความตรง
ความเอียง
ประเภทของ Typeface
ไหนๆ เราก็รู้ความต่างของไทป์เฟซและฟอนต์กันแล้ว มาดูกันดีกว่าว่าไทป์เฟซแต่ละประเภทมีอะไรบ้าง
1. Serif Typefaces
‘เซริฟ’ ไทป์เฟซประเภทนี้มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เป็นหนึ่งในไทป์เฟซที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีที่มาจากตัวอักษรโรมัน และถูกพัฒนาโดยนิโคลัส เจนเซ่น ในปี ค.ศ.1470 ลักษณะเด่นของไทป์เฟซประเภทนี้คือ เส้นตวัดหรือหางที่มักจะลากออกมาจากตัวอักษร ยกตัวอย่างเช่น Garamond
2. Sans Serif Typefaces
คือไทป์เฟซที่คล้ายๆ กับ ‘เซริฟ’ แต่ไม่มีหางตวัดออกมา เป็นรูปแบบที่ทันสมัยขึ้น คลีน ดูสะอาดตา ยกตัวอย่างเช่น Helvetica
3. Script Typefaces
คือไทป์เฟซที่มีลักษณะเหมือน ‘ลายมือ’ ที่ถูกเขียนอย่างบรรจง คล้ายกับใช้พู่กันตวัด มักจะมีหางยาว ดูอ่อนช้อย หรูหรา ยกตัวอย่างเช่น Kauffmann
4. Decorative Typefaces
คือไทป์เฟซที่มีความสร้างสรรค์ ดูแฟนซี มีอิสระในการออกแบบและการใช้งานมากกว่าประเภทอื่น เช่น ลักษณะที่ดูเหมือนฟองอากาศ, ดูเหมือนตัวการ์ตูน, ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ หรือมีลักษณะเหมือนเลือด ยกตัวอย่างเช่น Monoton, Fredericka the Great, Faster One
และนี่คือตัวอย่างของ Typefaces ที่เราพบเห็นได้บ่อยๆ ซึ่งช่วยทำให้เราเห็นความแตกต่างของ Typeface และ Font ได้ง่ายขึ้น
แต่อันที่จริงแล้ว ปัจจุบันเรามักจะใช้ ‘Font’ ตามความหมายของคำว่า ‘Typeface’ มากกว่าความหมายในแง่ของขนาดตัวอักษร แต่เกร็ดความรู้ในข้อนี้ ก็รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามใช่ไหมล่ะคะ 😉
ขอบคุณข้อมูลจาก