เวลาเดินเลือกซื้อของตามห้างสรรพสินค้า บ่อยครั้งที่เราสะดุดตากับบรรจุภัณฑ์ก่อนจะรู้ว่าสินค้าภายในคืออะไรเสียอีก แพคเกจจิ้งของสินค้าที่ขายแบบออฟไลน์มักจะมีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ลูกค้าเห็นก่อนสินค้า ในขณะที่การขายแบบออนไลน์ แพคเกจจิ้งก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเมื่อสินค้าส่งไปถึงมือลูกค้า แพคเกจจิ้งก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้

ซันนี่รวบรวม “6 พื้นฐานการออกแบบแพคเกจจิ้ง” มาฝาก นอกจากจะทำให้แพคเกจจิ้งดึงดูดสายตาลูกค้าแล้ว ยังสามารถเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย

1. รู้จัก Customer Insight

ก่อนออกแบบแพคเกจจิ้ง ควรเข้าใจพฤติกรรม อารมณ์ ความเชื่อ ความสนใจ รวมถึงเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอย่างรอบด้าน เพื่อให้แพคเกจจิ้งที่ออกแบบมานั้นสามารถสื่อสารออกไปได้ตรงกลุ่ม เช่น 

• สินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ชาย ไม่ควรมีองค์ประกอบที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสินค้าสำหรับผู้หญิง หรือทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่ากำลังใช้สินค้าสำหรับผู้หญิงอยู่
• หรือสินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความล้ำสมัย ชอบลองสินค้าใหม่ๆ แพคเกจจิ้งควรมีความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำซากจำเจเหมือนสินค้าอื่นๆในตลาด
• สินค้าสำหรับคนรักสุขภาพ ควรมีองค์ประกอบที่สื่อให้เห็นถึงความปลอดภัยของวัตถุดิบ ไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นต้น

2. สื่อสารอย่างชัดเจน

การออกแบบแพคเกจจิ้งต้องไม่ก่อให้เกิดความสับสน และควรสื่อสารคุณค่าของสินค้าได้อย่างครบถ้วน รวมถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ และความแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น

• ซอสมะเขือเทศที่ทำจากมะเขือเทศออร์แกนิค แพคเกจจิ้งไม่ควรเหมือนกับซอสมะเขือเทศธรรมดาของแบรนด์อื่นๆ แต่ควรมีองค์ประกอบที่แสดงให้เห็นว่าผลิตจากวัตถุดิบที่ปลอดสารพิษ

หากแพคเกจจิ้งไม่สามารถสื่อสารคุณสมบัติที่แตกต่างออกไปได้อย่างชัดเจน ลูกค้าอาจตัดสินใจไม่ซื้อ เนื่องจากไม่เห็นความต่างที่โดดเด่นออกมา หรือไม่แน่ใจว่าจะได้รับประโยชน์อะไรจากสินค้านั้นๆ

3. ดึงดูดสายตา

แพคเกจจิ้งที่ดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้ อาจเพิ่มโอกาสในการขายได้หลายเท่า การออกแบบที่ดึงดูดสายตาอาจไม่จำเป็นต้องมีสีสันสดใส หรือมีรูปทรงแปลกใหม่เสมอไป แต่ควรสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายได้เป็นอย่างดี

ในการออกแบบแพคเกจจิ้งสินค้าแต่ละชนิดอาจมีรายละเอียดแตกต่างกันไป เช่น สินค้าประเภทอาหาร อาจต้องมีการเจาะช่องเพื่อให้เห็นสินค้าภายใน หรือมีภาพประกอบของอาหารอยู่บนแพคเกจจิ้ง เพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร

4. กระตุ้นอารมณ์

อารมณ์มีผลอย่างมากในการตัดสินใจซื้อสินค้า สินค้าและแพคเกจจิ้งที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ได้มักจะเป็นที่จดจำมากกว่า ทั้งนี้ อารมณ์ที่ใช้ในการออกแบบแพคเกจจิ้งควรมีความสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันกับแบรนด์ เช่น

• สนุกสนาน ให้แรงบันดาลใจ > Lego, Oreo
• แสดงความห่วงใย > นมสดตราหมี, แบรนด์
• เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม > Lush, Starbucks เป็นต้น

5. มีความเป็นเอกลักษณ์

แพคเกจจิ้งที่ดีสามารถเพิ่มยอดขายให้สินค้าได้ ด้วยการสื่อสารเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆ สร้างความน่าเชื่อถือ และช่วยตอกย้ำภาพจำของแบรนด์ให้กับผู้บริโภค

แพคเกจจิ้งที่สามารถสร้างภาพจำได้เป็นอย่างดี เช่น Coca Cola, Nike, KitKat, Lay’s เป็นต้น

6. มีข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วน

อย่าลืมใส่ข้อกำหนดที่ต้องมีบนบรรจุภัณฑ์ให้ครบถ้วน เช่น สคบ. บาร์โค้ด ระยะเวลาการใช้งาน ทั้งนี้ต้องศึกษาข้อกำหนดของสินค้าแต่ละชนิด

ตัวอย่างเช่น หากสินค้าเป็นอาหาร อาจมีสิ่งที่ต้องระบุ อาทิ

• วัตถุดิบ เรียงลำดับจากปริมาณมากไปน้อย
• ส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้
• ข้อแนะนำ หรือ คำเตือน
• วันผลิตและวันหมดอายุ เป็นต้น

แพคเกจจิ้งนับว่ามีความสำคัญรองลงมาจากตัวสินค้า เพราะเป็นสิ่งที่สามารถสร้างความแตกต่าง ดึงดูดสายตาลูกค้า และแสดงเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น นอกจากนี้แพคเกจจิ้งยังสามารถสร้างประสบการณ์ดีๆ ที่ทำให้ลูกค้าประทับใจจนอยากกลับมาซื้อซ้ำได้อีกด้วย

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : 

• https://landor.com, The five fundamentals of great package design
• www.pkgbranding.com, 6 Essential Elements of Effective Packaging Design
• www.youtube.com, Design by Cheyney, Packaging Design Fundamentals (how to design) and what to Consider as a Client (tips)