SEO และ SEM คือการทำให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกของ Google ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ เพราะช่วยเพิ่มยอดขาย ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก แต่คำถามคือ เราควรใช้ SEO หรือ SEM แล้วสองวิธีนี้ ดีต่างกันอย่างไร?
SEO และ SEM คืออะไร?
SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ให้เหมาะกับอัลกอริทึมของ Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาหน้าแรกของ Google โดยไม่เสียเงินทำโฆษณา (Organic Search) และต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่าง รวมทั้งใช้เวลาที่ยาวนานในการสร้าง เช่น

● ใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม เช่น คำฮิต คำถามที่คนสงสัยและชอบเสิร์ช
● ปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์ ยิ่งเว็บอืด จะทำให้คนไม่อยากเข้า และไม่อยากเสียเวลาอยู่ต่อ โดยอัตราการกดออกจากเว็บ (Bounce Rate) มากเท่าไหร่ เราก็จะเสียคะแนน SEO ไปมากเท่านั้น
● ใส่ลิงก์คุณภาพ (Backlinks) เช่น ลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่นที่มีความน่าเชื่อถือ (แต่จะได้คะแนนดียิ่งขึ้น หากเว็บที่มีความน่าเชื่อถือนั้น ลิงก์มายังเว็บของเรา 😉)
SEO จึงเหมาะสำหรับเกมยาว และธุรกิจที่ต้องการลดต้นทุนในการโฆษณา

SEM (Search Engine Marketing) คือ การรวมวิธีการทาง SEO เข้ากับการจ่ายเงินโฆษณาให้กับ Search Engine (PPC – Pay Per Click) โดย PPC เป็นการซื้อพื้นที่โฆษณาบนหน้าผลการค้นหาของ Google ซึ่งจะมีคำว่า “Ad” ปรากฏอยู่
SEM เหมาะสำหรับเกมสั้น ธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว เช่น การโปรโมตแคมเปญระยะสั้น หรือกระตุ้นยอดขายในช่วงโปรโมชั่น เป็นต้น

สรุป : เราควรใช้ SEO หรือ SEM?
SEO เหมาะกับใคร :
ธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัดและต้องการสร้างการเติบโตในระยะยาว รวมถึงต้องการเพิ่ม Traffic (ผู้เข้าชมเว็บไซต์) แบบออร์แกนิก
SEM เหมาะกับใคร :
ธุรกิจที่ต้องการกระตุ้นยอดขายหรือยอดผู้เข้าชมในระยะสั้น เช่น การจัดโปรโมชั่นช่วงเทศกาล หรือแบรนด์ที่เพิ่งเปิดตัวสินค้าใหม่และต้องการสร้างแคมเปญในทันที
SEO และ SEM มีข้อดีและจุดเด่นที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรของธุรกิจ โดยส่วนใหญ่แล้ว เจ้าของธุรกิจจะนิยมทำทั้ง SEO และ SEM ควบคู่กันไป เพื่อจะได้ให้ผลลัพท์ที่ดี ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวค่ะ