เมื่อหลายปีก่อน ตลาดออนไลน์อาจเป็นดินแดนอันหอมหวาน สำหรับคนที่เริ่มสร้างธุรกิจแบบไม่มีหน้าร้าน เนื่องจากคู่แข่งน้อย หากสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของตนเองได้ ก็สามารถทำกำไรมหาศาล
แต่แน่นอนว่าอะไรที่ทำกำไรก็ย่อมดึงดูดคู่แข่ง ประกอบกับสถานการณ์โควิด 19 ที่ผลักดันให้ทุกธุรกิจต้องหาทางรอด รวมไปถึงบรรดาธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ผันตัวขึ้นมาอยู่บนโลกออนไลน์ พร้อมทุนทรัพย์ก้อนมหาศาลเพื่อชิงส่วนแบ่งทางตลาดกลับไปครอง ทำให้การตลาดออนไลน์ทุกวันนี้ไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกต่อไป
ธุรกิจจึงต้องหันกลับมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์และเป้าหมายระยะยาว หากต้องการอยู่รอดท่ามกลางคู่แข่งที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน
1. ลงทุนกับ Digital Assets
เมื่อต้นทุนการเข้าถึงลูกค้าทางโซเชียลมีเดียแพงขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจจึงต้องสะสมฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ เพราะต้นทุนในการรักษาลูกค้าเก่านั้นน้อยกว่าการหาลูกค้าใหม่ การสะสมฐานลูกค้าทำได้หลายวิธี เช่น
- สร้างแบรนด์ สร้างจุดเด่นของตนเอง ที่ทำให้เราแตกต่างจากคู่แข่ง และทำให้ลูกค้านึกถึง
- สร้างเว็บไซต์ เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้า และนำไปประมวลผลเพื่อวางแผนธุรกิจต่อไป
2. สร้างจุดขายที่น่าสนใจ
เนื่องจากการแข่งขันสูงขึ้น เราจึงต้องสร้างจุดเด่นให้สินค้าและธุรกิจ เพื่อให้เป็นที่จดจำของลูกค้า จุดขายต้องน่าสนใจ เป็นสิ่งที่ลูกค้าให้คุณค่า และพร้อมจะจ่ายเงินซื้อมากกว่าสินค้าของคู่แข่ง
ดังนั้นก่อนจะสร้างจุดเด่น ต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายก่อน วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายให้ถี่ถ้วน วางแผนพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนอง จุดเด่นไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าเพียงอย่างเดียว อาจเป็นบริการที่เหนือกว่าคู่แข่ง วิธีการสื่อสารที่แตกต่าง หรือบรรจุภัณฑ์ที่น่าประทับใจก็ได้
3. ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์
การแข่งขันสูงขึ้น ค่าโฆษณาก็แพงขึ้น เราจึงไม่สามารถยิงโฆษณาขายของครั้งต่อครั้งได้อีกต่อไป แบรนด์ควรกลับมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ทางการตลาด เช่น
- วางแผน Customer Journey และนำเสนอสินค้าออกไปให้ชัดเจน สื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
- กำหนดทิศทางการขาย กระจายความเสี่ยงไว้หลายๆ ช่องทาง ทั้งโซเชียลมีเดีย Search Engine E-Marketplace หรือแม้แต่ช่องทางออฟไลน์ที่ยังทำกำไรอยู่ในปัจจุบัน เลือกแค่ช่องทางที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ไม่จำเป็นขายสินค้าในทุกช่องทาง
- ควบคุมค่าใช้จ่าย คำนวณต้นทุนแต่ละจุดให้แม่นยำ เพราะกระแสเงินสดคือเส้นเลือดของธุรกิจ หากสภาพทางการเงินคล่องตัว ธุรกิจก็สามารถยืนระยะต่อไปได้
4. อย่าพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียว
เนื่องจากโซเชียลมีเดียมีหลายแพลตฟอร์ม และแต่ละแพลตฟอร์มก็มีความผันผวนตลอดเวลา การเปลี่ยนกฎเกณฑ์ หรือความนิยมของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นหรือตกลงอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลกับธุรกิจได้ รวมถึงคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกวัน ทำให้ต้นทุนค่าโฆษณาแพงขึ้น ธุรกิจที่เคยขายดีบนโลกออนไลน์จึงเหลือกำไรน้อยลง
เราจึงควรสร้างช่องทางการขายไว้หลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยง และพร้อมปรับตัวตามความผันผวนของโลกออนไลน์อยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ธุรกิจประสบปัญหาหากแพลตฟอร์มที่เราอยู่เกิดการเปลี่ยนแปลง
5. ทำการตลาดแบบ Inbound Marketing
โซเชียลมีเดียเข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้รวดเร็ว แต่ต้นทุนก็สูงมากเช่นกัน และอาจไม่ยั่งยืนเนื่องจากกระแสความนิยมปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
การตลาดแบบ Inbound Marketing คือการทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำของลูกค้า ด้วยคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ เช่น บทความหรือคลิปวิดีโอที่ติด SEO SEM ซึ่งถึงแม้จะใช้เวลานานกว่าจะติดอันดับการค้นหา แต่ต้นทุนน้อยกว่าและยั่งยืนกว่า
แม้ว่าการตลาดออนไลน์ทุกวันนี้จะไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน และยังมีแนวโน้มว่าจะยากขึ้นเรื่อยๆ แต่หากทำตาม 5 ข้อนี้ หันกลับไปให้ความสำคัญกับหัวใจหลักของธุรกิจที่ไม่ใช่แค่ยอดขาย เราก็จะสามารถประคองธุรกิจให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน และที่สำคัญคือต้องพร้อมที่จะปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อรับมือกับความผันผวนบนโลกออนไลน์
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล :
lexiconthai.com, How to Survive in an E-Commerce Red Ocean
www.makewebeasy.com, รู้ไว้ใช่ว่า : ธุรกิจ SME ควรปรับตัวอย่างไร เมื่อการตลาดออนไลน์เริ่มทำยาก และต้นทุนแพงขึ้นเรื่อยๆ ?