คอนเทนต์ คือ เนื้อหาต่างๆ ที่เราใช้สื่อสารไปยังผู้บริโภค ในโลกธุรกิจออนไลน์ การสร้างคอนเทนต์คือการโพสต์อะไรบางอย่างลงไปใน Social Media ไม่ว่าจะเป็นข้อความ, รูปภาพ, คลิปวิดีโอ หรือเนื้อหาอื่นๆ โดยมีจุดประสงค์บางอย่าง เช่น
แบรนด์ดัง คนรู้จักอยู่แล้ว สินค้าดี ยังไงก็ขายได้
ทำไมต้องเสียเวลาสร้างคอนเทนต์?
เพราะในปัจจุบัน ธุรกิจบนโลกออนไลน์กำลังเฟื่องฟูจนฉุดไม่อยู่ ทุกพื้นที่ใน Social Media เต็มไปด้วยการตลาด เช่น
เรามักจะเจอโพสต์ต่างๆ ใน Facebook, Instagram, Twitter, Tiktok หรือโซเชียลอื่น ที่เอ่ยถึงสินค้าหรือบริการบางอย่างว่าดีอย่างไร ซึ่งอาจเป็นโพสต์ที่ได้รับการสปอนเซอร์ (SR) เรียกง่ายๆ ว่า “จ่ายเงินจ้าง ให้ช่วยขายของให้หน่อย” หรือไม่ได้มีการจ้างเลย แต่เพราะชอบจริงเลยบอกต่อ (CR)
โพสต์เหล่านั้นเรียกว่าคอนเทนต์
ซึ่งไม่ว่าจะทางไหน การได้แสดงความเห็นเชิงบวกต่อสินค้าหรือบริการอะไร ก็มักจะเกิดผลทางการตลาดตามมาเสมอ ผู้คนที่พบเห็นมักจะเกิดความสนใจและซื้อสินค้าตามรีวิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นรีวิวจาก Influencer
แต่ถ้าไม่ใช่คอนเทนต์ที่ “ก่อให้เกิดการซื้อสินค้าโดยตรง” จะสร้างประโยชน์อะไรต่อแบรนด์ได้บ้าง?
การทำคอนเทนต์เป็นสิ่งจำเป็นในการทำธุรกิจออนไลน์ ไม่ใช่แค่เพราะสร้างยอดขายเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่ม Awareness ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น เห็นภาพรวมว่าแบรนด์เราคือใคร ทำเกี่ยวกับอะไร มีอะไรน่าสนใจให้คนเข้ามาดู เช่น
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างของประโยชน์ที่ได้จากการสร้างคอนเทนต์ ซึ่งแม้จะไม่ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง แต่ก็ทำให้เพจเติบโต คนรู้จักมากขึ้น แบรนด์ก็เติบโตมากขึ้น
ผู้ที่ทำธุรกิจออนไลน์ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการสร้างคอนเทนต์ ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็คงไม่มีอะไรไปนำเสนอให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเรา เพราะแม้แต่แบรนด์เก๋าๆ ที่อยู่ในตลาดมาหลายสิบปี ก็หันมาทำออนไลน์กันแทบทั้งนั้น
เราสามารถกดถ่ายภาพสินค้าแล้วโพสต์ลงเพจเลยทันทีก็ได้ นั่นก็เรียกว่าคอนเทนต์แล้ว แต่หลังจากโพสต์ภาพสินค้าชิ้นนี้ลงแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป
ต้องโพสต์อีกครั้งวันไหน เมื่อไหร่ เรื่องอะไรดี
คำถามเหล่านี้ทำให้ “การสร้างคอนเทนต์” ไม่ใช่แค่เรื่องที่สักแต่ว่าโพสต์อะไรก็ได้ลงเพจไปแล้วทุกอย่างจะจบ แต่ต้องเริ่มตั้งแต่กระบวนการคิดให้เป็นขั้นตอน เพื่อจะได้มีจุดประสงค์และแผนการสร้างคอนเทนต์ที่ชัดเจน
หากเรากำหนดแผนงานด้วยการสร้าง Content Pillar จะทำให้เรามองภาพรวมงานได้ดียิ่งขึ้น คล้ายกับการสร้างแผนผังและวาง Road Map โดยต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ขณะนี้แบรนด์ของเราต้องการอะไร อยากสื่อสารอะไร กับใคร เรื่องอะไร ไปจนถึงต้องลงโพสต์ถี่แค่ไหน สัปดาห์ละกี่ครั้ง เป็นต้น
เมื่อวางแผนทั้งหมดเสร็จแล้ว จากนั้นจึงเป็นเรื่องของ “การผลิตคอนเทนต์” ตามแผน ไม่ว่าจะถ่ายภาพ ถ่ายคลิป หรือเขียนคอนเทนต์ จวบจนตั้งโพสต์เพื่อปล่อยคอนเทนต์ออกสู่สายตาผู้บริโภคในวันและเวลาที่เหมาะสม ก็ถือเป็นอันจบกระบวนการแล้วค่ะ
การสร้างคอนเทนต์ กินเวลาและพลังงานสมองอย่างมหาศาล
ลองคิดดูว่าต้องเอาเวลามาวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่ได้กล่าวไปก่อนนี้ ซึ่งหากไม่ชำนาญก็อาจวิเคราะห์ได้ไม่ตรงจุด ส่งผลให้สร้างคอนเทนต์ออกมาไม่ตรงใจผู้บริโภค คอนเทนต์ไม่เกิด Engage สินค้าขายไม่ได้ เพจไม่มีใครติดตาม
ยังไม่นับรวมเวลาทำคอนเทนต์ที่กินเวลาแบบสุดๆ หากอยากโพสต์อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ก็ปาไปแล้วเดือนละ 12 คอนเทนต์ ถ้าทั้งเขียนเอง ทำกราฟิกเอง ตัดคลิปเอง แล้วยังต้องดูแลการตลาด สร้างแบรนด์ หาไอเดียผลิตสินค้าใหม่ๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าต่อให้ไม่นอน เวลาก็ยังไม่พอเลยล่ะค่ะ
ดิจิทัลเอเจนซี่จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์และคิดคอนเทนต์แทน เพียงแค่บอกเล่าเรื่องเราวของแบรนด์ รวมถึงความต้องการและสิ่งที่อยากได้จากการทำคอนเทนต์ ซึ่งหากเอเจนซี่คิดออกมา และคุณชื่นชอบในไอเดียเหล่านั้น ก็เคาะได้เลย!
เมื่อคุณอนุมัติ (Approve) ว่าไอเดียผ่าน สิ่งที่เอเจนซี่จะทำต่อไปคือ “เริ่มสร้างคอนเทนต์ให้คุณ” ซึ่งคุณมีสิทธิตรวจแก้งานเหล่านั้นก่อนนำไปโพสต์ ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยเอง แต่ได้ชิ้นงานที่พึงพอใจ โดยยังมีเวลาไปลงแรงกับเรื่องอื่นๆ ได้อีกเยอะ!
นี่คือข้อดีของการให้ Digital Agency มาช่วยงาน ซึ่งหากพิจารณาดูแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ ก็ลองทักเข้ามาสอบถามข้อมูลจากซันนี้ก่อนได้นะคะ 😉
SUNNYSIDEUP STUDIO